วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

THIS IS ME " POPEYE "





                     ''ก่อนเคยเชื่อในลิขิตฟ้าดิน 
                      ปล่อยชีวิตไปตามโชคชะตา
                      แต่ฝันไม่เคยถึงฝั่ง ผิดหวังในใจเรื่อยมา :(    

                   ปีนไปให้สูงที่สุด อย่างที่คิดฝันไว้กับใจ
                                     จะยากเย็นเท่าไร บอกใจว่าจะ ''ไม่กลัว''

                      ไม่รอให้ฟ้าให้ดินลิขิต ไม่ปล่อยชีวิตให้ผ่านไป
                      ไม่ว่าจะสูงจะไกลเท่าไหร่ จะไขว่จะคว้าจะฝ่าฟัน 
                      ไม่ยอมให้ฟ้าหรือใครลิขิต อยากมีชีวิตที่ใฝ่และฝัน

                      ตั้งแต่วันนี้  นี่คือชีวิตลิขิตของเรา :)






''เพื่อน'' คือส่วนหนึ่งของชีวิตป๊อป ^^


ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ในโครงการ SMA
ที่คอยให้กำลังใจ คอยร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน
ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆอีกหลายคนในรั้วมหาวชิราวุธ
ที่เรามีความสามัคคี รักใคร่กันดั่งพี่น้องร่วมสายเลือด

# กว่าจะรักเท่าวันนี้ กว่าจะมีคนมาเข้าใจต้องใช้เวลา 
ใช่เพียงมองตากันเมื่อไหร่




ขอบคุณโรงเรียนมหาวชิราวุธ


 ที่แห่งนี้ คือบ้านหลังที่สองของพวกเรา 
ที่ซึ่งมีแต่ความรักความอบอุ่น 
ที่ซึ่งมีแ่ต่สายใยความเป็นพี่น้องตลอดมา



และสุดท้าย ขอขอบคุณชมรมศิลปะมหาวชิราวุธ


ที่ทำให้ป๊อปได้รู้จักกับคำว่า 'เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน' อย่างกระจ่าง
ขอบคุณครูอุ๋ย ที่ได้ให้โอกาสแก่หนู เข้ามาทำความฝันของตัวเองให้สำเร็จไปอีก
ก้าวหนึ่ง ซึ่งนับเป็นความภูมิใจอย่างยิ่งในชีวิตเด็กผู้หญิงคนนึง

ช่วง...ท่องโลก
    แอ่น แอ๊น แอ้นนน >< สำหรับช่วงท่องโลกนะคะ ป๊อปก็อยากจะพาทุกท่านไปเรียนรู้เรื่องเศรษฐกิจของแต่ละประเทศทั่วโลก เพราะปัจจุบันนั้น เศรษฐกิจของแต่ละประเทศทั่วโลกมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น เดี๋ยวก็ขึ้น เดี๋ยวก็ลง โอ้ยยมึนหัว = ='
ป๊อปเลยอยากฝากเกร็ดความรู้เรื่องเศรษฐกิจเอาไว้ เผื่อมีประโยชน์ต่อท่านก็ได้นะคะ
 รู้เอาไว้ ใช่ว่าจะเสียหาย จริงมั้ยเอ่ย ?
 อ้ะอ้ะ แต่ตอนนี้เรามีแขกรับเชิญที่จะมาร่วมท่องโลกและมาให้ความรู้เรื่องเศรษฐกิจของแต่ละประเทศไปกับพวกเราด้วยคะ ^^  อยากจะทราบหรือยังเอ่ยว่าประเทศที่ป๊อปจะพาทุกท่านร่วมเนรมิตเข้าไปสู้โลกแห่งเศรษฐกิจของพวกเรา จะเป็นประเทศอะไรบ้างน๊า ติ๊กต่องๆ ได้แก่ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศในฝันของใครหลายๆคนเชียวนะ ต่อไปคือดินแดนอาทิตย์อุทัย หรือประเทศญี่ปุ่นนั่นเองคะ ว้าววๆ ^^ ประเทศต่อไปได้แก่...ออสเตรเลีย และต่อไปคือนิวซีแลนด์และสุดท้าย ท้ายสุด ได้แก่ประเทศ สหรัฐอเมริกา ยักษ์ใหญ่ของโลกเรานี่เองค่ะ

พร้อมกันแล้วหรือยังที่จะร่วมท่องโลกไปกับพวกเรา ถ้าพร้อมแล้ว ไป

เศรษฐกิจการค้าของประเทศอิตาลี
   สำหรับประเทศนี้ ป๊อปจะขอมาให้ความรู้กับทุกๆท่านนะคะ อย่ารีบเบื่อกันก่อนละ!
อ้ะอ้ะ ฟังค่ะๆ โครงสร้างทางเศรษฐกิจทั่วไป อิตาลีมีพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่เหมาะแก่การเกษตรกรรม  และมีทรัพยากรธรรมชาติไม่มาก แม้จะมีก๊าซธรรมชาติอยู่บ้าง
จึงเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าอาหาร (net food importer) และพลังงาน ปัจจุบันอิตาลีเปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาเกษตรกรรมเป็นสำคัญ มาเป็นแบบมีอุตสาหกรรมเป็นพื้นฐาน และมีขนาดใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของโลก โดยรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรสูงไล่เลี่ยกับอังกฤษและฝรั่งเศสเชียวนะ โอ้โห O_o อิตาลีมีจุดแข็งในอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)


อุตสาหกรรมที่สำคัญมี รถยนต์ เครื่องจักรกล การก่อสร้าง เคมีภัณฑ์ เภสัชภัณฑ์ เครื่องไฟฟ้า เครื่องเรือน อุตสาหกรรมทอผ้า เสื้อผ้าและแฟชั่น และการท่องเที่ยว อิตาลีเป็นสมาชิกกลุ่มG8 และเข้าร่วมสหภาพการเงินของ สหภาพยุโรป (EMU) มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1998 แม้ระบบเศรษฐกิจของอิตาลีเป็นระบบทุนนิยม
ภาคเอกชนสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเสรี แต่รัฐบาลยังคงเข้ามามีบทบาทควบคุมกิจกรรมที่สำคัญ อาทิ ด้านสาธารณูปโภค อุตสาหกรรมพื้นฐาน เป็นต้น ซึ่งได้ก่vประโยชน์ให้แก่ภาครัฐบาลในการสร้างฐานอำนาจและแบ่งปัน ผลประโยชน์ระหว่างพรรคการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันได้มีความพยายามที่จะลด บทบาทของพรรคการเมืองโดยการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินการ

แต่ แต่ แต่  อิตาลียังมีปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศหลายประการเลยนะคะ ที่สำคัญได้แก่ การขาดดุลงบประมาณในระดับสูง การว่างงาน การขาดแคลนทรัพยากรพลังงานในประเทศ และระดับการพัฒนาที่แตกต่าง กันอย่างมากระหว่างอิตาลีตอนเหนือ (Lombardy, Emilia,
Tuscany) ซึ่งเป็นแหล่งอุตสาหกรรมและการค้า และมีกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs อยู่หนาแน่น กับอิตาลีตอนกลางและตอนล่าง รวมทั้งเกาะ Sicily และ Sardinia ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรม บริเวณที่พัฒนาน้อยกว่านี้มีพื้นที่รวมกันเป็นร้อยละ 40 ของประเทศ มีประชากรอาศัยอยู่ถึงร้อยละ 35 และมีอัตราการว่างงานสูงถึงกว่าร้อยละ 20

- ร้านค้าปลีกขนาดกลาง (พื้นที่ 250-2,500 ตารางเมตร) เช่น supermarket , convenient store, outlet เป็นต้น และร้านค้าปลีก/ค้าส่งขนาดใหญ่ (พื้นที่ 2,500 ตารางเมตรขึ้นไป) จะต้องได้รับการอนุญาตจัดตั้งโดยคำนึงถึงการแบ่งเขตพื้นที่ (zoning) และการตรวจสอบความจำเป็นทางเศรษฐกิจ (economic needs test) ต่างๆ เช่น จำนวนประชากร การกระจายการจัดตั้งร้านค้าปลีก/ค้าส่งขนาดใหญ่ ผลกระทบต่อสภาพจราจร การจ้างงาน และการสร้างงานใหม่ เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลแคว้นจะพิจารณาร่วมกับเทศบาลเมือง และหน่วยงานภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในการอนุญาตให้จัดตั้งร้านค้าปลีก/ค้าส่งขนาดใหญ่ ส่งผลให้เกิดการชะลอความเติบโตในภาคการค้าปลีก/ค้าส่งขนาดใหญ่ของอิตาลีในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
-ปัจจุบันรัฐบาลอิตาลีมีนโยบายสนับสนุนให้ร้านค้าปลีกขนาดเล็กปิดกิจการหรือรวมตัวกันโดยจะให้เงินชดเชยแก่เจ้าของร้านที่เลิกกิจการก่อนเกษียณอายุ และรวมตัวเพื่อเปิดกิจการร้านค้าปลีกขนาดกลาง เพื่อลดการแข่งขันระหว่างการค้าปลีกอื่นๆ ในย่านเดียวกัน เป็นต้น
ข้อกำหนดสำหรับกิจการของต่างชาติ

- ธุรกิจการค้าปลีก/ค้าส่ง ของงอิตาลีมีการแข่ง
ขันกันอย่างเสรี ในสภาพตลาดที่พัฒนาแล้วและไม่มีข้อกีดกันต่อผู้ประกอบการต่างชาติในกิจการค้าปลีก/ค้าส่ง
- ปัจจุบัน มีร้านค้าปลีก/ค้าส่ง ขนาดใหญ่ของต่างชาติเปิดกิจการ
ในอิตาลี อาทิ Carrefour (ฝรั่งเศส) Auchan (ฝรั่งเศส) Metro (เยอรมัน)
Lidl (เยอรมัน) Rewe (เยอรมัน) Tenglemann (เยอรมัน) IKE (สวีเดน) 


* เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับเศรษฐกิจของประเทศอิตาลี ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าประเทศที่เจริญแล้วยังต้องมีปัญหาการตกงาน การขาดดุลงบประมาณอยู่อีก แต่ยังไงแล้ว พวกเราก็ขอเป็นกำลังใจให้กับประเทศอิตาลีด้วยนะคะ : )

เราไปต่อกันที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อนบ้านของเรากันเลยค่ะ ดุซิว่าเศรษฐกิจบ้านเมืองเค้าจะเป็นเช่นไร

  เศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้รับความบอบช้ำจากสงครามเป็นอย่างมาก แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเพราะปัจจัยหลายอย่างเช่นการแทรกแซงของรัฐบาล แรงงานที่ถูกและมีคุณภาพ อัตราการออมและการลงทุนที่สูง ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2500-2520 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างมาก อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2500, 2510 และ 2520 เฉลี่ยร้อยละ 10, 5 และ 4 ตามลำดับ ตั้งแต่ช่วงต้นพุทธทศวรรษที่ 2510 ญี่ปุ่นประสบปัญหาค่าเงินเยนแข็งตัวจนทำให้บริษัทจำนวนมากย้ายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศ หลังจากเกิดฟองสบู่แตกต้นพุทธทศวรรษที่ 2530 เศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัว และส่งผลต่อเนื่องตลอดพุทธทศวรรษที่ 2530 รัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และยังถูกซ้ำเติมจากผลกระทบของเศรษฐกิจชะลอตัวในปี พ.ศ. 2543  สภาพเศรษฐกิจหลังจากปี พ.ศ. 2548 ดูเหมือนจะฟื้นตัวขึ้นจากตัวเลขการขยายตัวของจีดีพีที่สูงขึ้น แต่ญี่ปุ่นก็กลับประสบปัญหาอีกครั้งเมื่อเกิดวิกฤติทางการเงินที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก แม้ว่าธุรกิจภาคการเงินของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เพราะทศวรรษแห่งภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ทำให้ญี่ปุ่นระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น แต่การที่ญี่ปุ่นพึ่งพาการส่งออกรถยนต์และสินค้าอิเลคโทรนิคมากเกินไปก็ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และทำให้เกิดปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา เมื่อวัดด้วยจีดีพีก่อนปรับอัตราเงินเฟ้อ (ประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ)  และอันดับที่ 3 รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน เมื่อวัดด้วยอำนาจการซื้อญี่ปุ่นมีกำลังการผลิตที่สูงและเป็นประเทศต้นกำเนิดของผู้ผลิตชั้นนำที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร เหล็กกล้า โลหะนอกกลุ่มเหล็ก เรือ สารเคมี


และต่อไป คือประเทศออสเตรเลีย


เศรษฐกิจของประเทศออสเตรเลีย


      มองในแง่เศรษฐกิจ  ประเทศออสเตรเลียอาจจะกล่าวได้ว่ามีขนาดเศรษฐกิจ หรือ GDP
(Gross Domestic Product) ประมาณ U$ 450 Billion ซึ่งถือได้ว่าเป็นขนาดเศรษฐกิจของประเทศใหญ่เป็นอันดับที่ 14 ของโลก แม้ว่าในปัจจุบันจะมีข่าวว่า ออสเตรเลียประสบปัญหาขาดดุลการค้า (ซื้อสินค้าจากต่างประเทศเป็นมูลค่ามากกว่าออสเตรเลียสามารถขายสินค้าในต่างประเทศ) เป็นมูลค่ามหาศาล นอกจากนี้ยังปรากฏว่า ออสเตรเลียมีหนี้สินต่างประเทศประมาณ 7% ของ GDP ก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่า ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจดี และโชคดี เนื่องจากในปัจจุบันออสเตรเลียกำลังเร่งการผลิตในด้านเหมืองแร่ และทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อการส่งออกอย่างขนาดใหญ่ เพราะกำลังซื้อจากประเทศจีนเพียงประเทศเดียวก็เป็นมูลค่ามหาศาล โดยเฉพาะถ่านหินแ ละแร่เหล็ก ซึ่งจีน และประเทศในเอเซียหลายประเทศมีความต้องการซื้อมาก
                ออสเตรเลียในปัจจุบัน กำลังประสบปัญหาหนักในด้านการผลิตเหมืองแร่และทรัพยากรธรรมชาติ โดยผลิตได้ไม่รวดเร็ว และทันต่อความต้องการของประเทศผู้ซื้อ  การขนส่งถ่านหินและแร่ธาตุต่างๆ เพื่อการส่งออก ซึ่งโดยปกติกระทำโดยทางเรือก็ประสบความล่าช้าจากสิ่งอำนวยความสะดวกของการท่าเรือ ที่ไม่เพียงพอต่อการขยายตัวด้านการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
                ความโชคดีของออสเตรเลียในด้านการส่งออกทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งคาดว่าจะทำรายได้เข้าประเทศอย่างมากจะเป็นจริงเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของออสเตรเลียในการปรับตัว และการบริหารจัดการความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ประเทศแคนาดาและบราซิลซึ่งเป็นคู่แข่งของออสเตรเลียในด้านของความกว้างใหญ่ของพื้นที่ และการมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ กำลังเร่งการผลิตและส่งออกทรัพยากรธรรมชาติเป็นการใหญ่เช่นกัน



และประเทศก่อนสุดท้ายท้ายสุด คือประเทศ...นิวซีแลนด์




เศรษฐกิจของประเทศนิวซีแลนด์
นิวซีแลนด์ เป็นประเทศหนึ่งในเขตแปซิฟิกที่มีการทำอุตสาหกรรม เช่น การต่อเรือ โรงงานเบียร์ไวท์ โรงงานปลากระป๋อง แต่ส่วนใหญ่การอุตสาหกรรมในนิวซีแลนด์มีน้อยมาก และ มีการทำอุตสาหกรรมการเกษตร เช่นการทำผลไม้กระป๋อง อุตสาหกรรมการขุดแร่ เช่น ถ่านหิน เหล็ก อุตสาหกรรมป่าไม้ และ ยังมีการเพาะปลูกที่ทำให้นิวซีแลนด์มีรายได้มากส่วนหนึ่ง เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และ ผลไม้เช่น สตรอเบอรี่ และแอปเปิล เป็นต้น
  
ด้านเศรษฐกิจ (2548)
อัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 2.2
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ 108.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
รายได้ประชาชาติต่อหัว 26,441 ดอลลาร์สหรัฐ
อัตราการว่างงาน ร้อยละ 3.9
อุตสาหกรรมหลัก การแปรรูปอาหาร ไม้ สิ่งทอ เครื่องจักร กระดาษ ปุ๋ย ซีเมนต์ แผ่นเหล็ก อลูมิเนียม
เกษตรกรรมหลัก เนื้อสัตว์ (วัว แกะ ปลา) ผลิตภัณฑ์นม ขนแกะ ผักและผลไม้
ปริมาณการค้า ในปี 2548 นิวซีแลนด์มีปริมาณการค้ารวม 46.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งออก 21.9 พันล้านดอลลาร์ นำเข้า 24.7 ล้านดอลลาร์ เป็นผลให้นิวซีแลนด์ขาดดุลการค้า 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ประเทศคู่ค้าสำคัญ ออสเตรเลีย สหภาพยุโรป สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน (ตามลำดับ)
สินค้าเข้า รถยนต์ เครื่องจักรกล เชื้อเพลิง เครื่องใช้ไฟฟ้า และพลาสติก
สินค้าออก ผลิตภัณฑ์นมเนย เนื้อสัตว์ (วัว แกะ ปลา) ไม้ เครื่องจักร


และเกร็ดความรู้สุดท้ายท้ายสุดนั่นก็คือ >< ประเทศมหาอำนาจ สหรัฐอเมริกานั่นเองค่ะ


เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา


ระบบ เศรษฐกิจ ทุนนิยม ( Capitalism ) เป็นระบบเศรษฐกิจที่ให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินธุรกิจโดยที่รัฐจะเข้าแทรกแซงใน กิจการของเอกชนน้อย และสนับสนุนให้มีการแข่งขันกันอย่างเสรีทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) 14,264.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2551)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว (GDP per capita) 48,000 ดอลลาร์สหรัฐ (2551 ประมาณ)
อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ: ร้อยละ 1.1 (2551)
อัตราการว่างงาน : ร้อยละ 8.1 (กุมภาพันธ์ 2552)
อุตสาหกรรม : สหรัฐฯ เป็นผู้นำทางภาคอุตสาหกรรมของโลก มีความหลากหลายสูงและมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามาก เช่น ปิโตรเลียม เครื่องยนต์เครื่องบิน อุปกรณ์การสื่อสาร เคมีภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ การแปรรูปอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค ป่าไม้ เหมืองแร่
ดุลการค้า : มูลค่า – 677,099 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2551)
การส่งออก: มูลค่า 1,842,974 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2551)
สินค้าส่งออก : สินค้าทุน (ยกเว้นรถยนต์) ร้อยละ 36 สินค้าอุตสาหกรรม (industrial supplies and materials) ร้อยละ 29.7 สินค้าอุปโภคบริโภค ร้อยละ 12 รถยนต์ ร้อยละ 9 อาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ 8 (2551)
ประเทศคู่ค้าในการส่งออก : แคนาดาร้อยละ 20 เม็กซิโกร้อยละ 11.7 จีนร้อยละ 5.5 ญี่ปุ่นร้อยละ 5.1 เยอรมันนีร้อยละ 4.2 (2551)
การนำเข้า: มูลค่า 2,520,073 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2551)
สินค้านำเข้า : อุปกรณ์ในการอุตสาหกรรมร้อยละ 37 (น้ำมันดิบร้อยละ 16) สินค้าอุตสาหกรรมร้อยละ 21.6 สินค้าอุปโภคบริโภคร้อยละ 23 computer และ accessories ร้อยละ 4.7
ประเทศคู่ค้าในการนำเข้า :แคนาดาร้อยละ 16 จีนร้อยละ 16 เม็กซิโกร้อยละ 10.3 ญี่ปุ่นร้อยละ 6.6 เยอรมนีร้อยละ 4.6 (2551)
 

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ช่วง...จุดเริ่มต้นเล็กๆ 

เป็นอีกคนหนึ่งที่ตอนแรกไม่ชอบการอ่านหนังสือเป็นอย่างมากถึงมากที่สุด ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมถึงมีคนชอบมาสั่งมาบอกให้อ่านหนังสือ  ช่วงเวลาที่ใกล้สอบ เพื่อนๆคนอื่นเค้าก็จะมานั่งติวหนังสือกันใหญ่เลย แต่เรากลับรู้สึกเบื่อหน่าย เพราะรู้สึกว่ามันเป็นอะไีรที่น่าเบื่อมากๆ เลยเอาเวลาไปเล่นแทน เป็นอยู่แบบนี้มาตลอดทั้งสมัยเรียนประถม จนได้มาค้นพบตัวเองว่า การอ่านให้รู้สึกสนุกไม่เบื่อไปกับมันนั้น ต้องเริ่มจากตัวเราต้องเป็นคนรักการอ่านเสียก่อน ซึ่งถ้าเริ่มต้นมาอ่านหนังสือเรียนเลยนั้น ชีวิตคงบัดซบแน่ๆ เลยลองมาหัดอ่านนิยายกุ๊กกิ๊กน่ารักๆดูบ้าง เผื่อว่าเราจะกลายเป็นคนชอบอ่านหนังสือขึ้นมาบ้าง แต่แล้วก็เป็นจริงค่ะ กลายเป็นคนที่ไม่รู้สึกเบื่อเวลาอ่านหนังสือเลย (นอกเหนือจากหนังสือเรียนต้องเป็นแนวที่เราชอบด้วยนะคะ) จึงอยากจะปลุกกำลังใจให้ทุกคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ ลองหันมาอ่านหนังสือตามแนวตัวเองชอบหรือตามวัยของตัวเองดูนะคะ เพราะจะเป็นการปลูกฝังการรักการอ่านไปในตัว แล้วเมื่อเรามาอ่านหนังสือเรียน ก็จะทำให้เราสนุกและเข้าใจยิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ


อยากลองแนะนำหนังสือนิยายเล่มหนึ่งให้ได้ลองอ่านกันดู เพราะว่าอ่านแล้วรู้สึกสนุกและประทับใจ
อยากบอกว่าหนังสือนิยายมีอะไรมากกว่าที่เราคิด ไม่ใช่ให้เพียงความสนุกในการอ่านเท่านั้น แต่ยังมีสาระในการดำเนินชีวิตสอดแทรกเข้าไปด้วย แต่อาจจะจริงบ้างหรือไม่จริงบ้าง ขึ้นอยู่กับความคิดของผู้แต่ง และวิจารณญาณของผู้อ่าน 



Angle and me รักร้ายละลายใจ ยัยนางฟ้าตัวร้าย




     เฮเซิล นักเรียนหญิงผู้เลอโฉมแห่งโรงเรียนนานาชาติเลกไซด์ แต่เธอผู้นี้เต็มไปด้วยความหยิ่งยโส ความทะเยอทะยนในการใช้ชีวิตด้วยความที่เธอเติบโตขึ้นมาจากครอบครัวไฮโซ ชีวิตของเธอจึงเปรียบเสมือนราชนิกุล ไม่เคยต้องมาทำงานที่ยากลำบาก ของทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอปรารถนา เธอก็ต้องได้ สิ่งของเหล่านั้นจึงดูไม่มีค่าเลยสำหรับเธอ แต่เมื่อเธอโดนคำสั่งจากทางโรงเรียนให้มาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่โรงเรียนแกรนวัลเลย์ โรงเรียนซึ่งเป็นที่รวมของพวกนักเรียนที่ไม่มีที่เรียน โดนไล่ออกจากโรงเรียนเก่า มารวมกันอยู่ในสถาบันแห่งนี้ เฮเซิลจึงดูถูกนักเรียนเหล่านั้นว่าเป็นแค่พวกเศษขยะสังคม แต่แล้วเธอก็ต้องจำใจทำตามคำสั่งของโรงเรียน นั่นเพราะจะทำให้เธอได้รับรางวัลนักเรียนดีเด่น ซึ่งเป็นรางวัลที่เธออยากได้มาหลายปี เมื่อเฮเซิลมาเรียนที่แกรนวัลเวย์ เธอก็ได้เจอกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งได้รับคำสั่งจากโรงเรียนให้มาดูแลนักเรียนแลกเปลี่ยนจากเลกไซด์ หนุ่มผู้นี้คือ โนเอล ชายหนุ่มที่เป็นขวัญใจของสาวๆหลายคน เขาต้องทำงานเลี้ยงดูครอบครัวและส่งเสียให้ตัวเองเรียน งานที่เขาทำนั้นมีทั้งพอีกนักงานเสิร์ฟ บาร์เทนเนอร์ แม้กระทั่งต้องเจ็บตัวเพื่อแลกกับเงิน เขาก็ทำมาแล้ว ความรู้สึกที่โนเอลมีให้เฮเซิลเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆจนกลายมาเป็นความรัก ด้วยความที่เขาทั้งสองต่างกันเกินไปและเฮเซิลเองก็มีนิสัยไม่ดี ชอบดูถูกคนอื่น แต่โนเอลก็มองข้ามไปทุกอย่าง เพราะเขาคิดว่าน่าจะไปด้วยกันได้และความรักสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ แต่แล้วความสัมพันธ์และความรูสึกที่ทั้งคู่มีให้กันกลับต้องมาพังทลายลง เพราะเฮเซิลแค่กลัวคนอื่นจะมาดูถูกเธอที่มีแฟนจน จนเธอเองลืมมองความรักที่โนเอลมีให้ จุดจบของทั้งคู่จะเป็นอย่างไร จะได้สมหวังกันหรือไม่ ติดตามได้ใน  Angle and me  รักร้ายละลายใจ ยัยนางฟ้าตัวร้าย 

ช่วง...สร้างพรแสวง


เมื่อเรารู้แล้วว่า 'พรแสวงสำคัญกว่้าพรสวรรค์' ดังนั้น เราจึงควรบริหารจัดการเวลาอย่างคุ้มอย่างและมีประโยชน์ที่สุด โดยการแบ่งเวลาวันละนิดมาฝึกฝนด้านการวาดเส้น เพื่อก้าวสู่สเต็ปต่อไป (ทางที่ดีควรฝึกบ่อยๆทุกวันนะคะ) 
1.สิ่งที่ควรฝึกตนเองก่อนเริ่มลงมือวาดรูป ขั้นแรกให้หัดเขียน เส้นนอน เส้นตั้ง เส้นเฉียง ซ้ำ ๆ กันให้คล่องมือ (อ้ะอ้ะ อย่าลืมเตรียมกระดาษ ดินสอ และยางลบด้วยนะคะ)  
พร้อมกันหรือยัง มาเริ่มกันเลยยย ^^




2.หลังจากนั้นให้หัดแรเงาตามรูปทรง  โดยใช้เส้นตรงวางให้ชิดเป็นแนวเดียวกัน ใช้วิธีเหวี่ยงข้อมืออย่างเร็วทั้งขึ้นและลง



3. การฝึกสมาธิให้ใจสัมพันธ์กับมือ  โดยการลงซ้ำบนรอยเดิมค่อย ๆ ทำเวลาให้เร็วขึ้น



*อย่าลืมนะคะ หมั่นฝึกฝนบ่อยๆ เพราะเส้นทางที่จะพาเราไปสู่ความสำเร็จต้องเริ่มต้นจากการมีพื้นฐานที่มั่นคง เปรียบเสมือนการวาดรูปนี่แหละค่ะ ถ้าเราต้องการจะมีผลงานที่สวยงาม มันก็ต้องเริ่มจากการที่เรามีพื้นฐานด้านการวาดที่ดีค่ะ 
เคยมีความฝันมั้ย...
ว่าอยากเก่งทางด้านศิลป์แต่ตัวเราเองไม่มีฝีมือ ?


เราเองก็มีความฝันที่อยากจะเก่งด้านศิลปะเหมือนกัน แต่เราเป็นคนไม่ค่อยมีฝีมือและจินตนาการ มีอยู่ครั้งนึงเคยท้อและหมดหวัง เพราะเห็นผลงานของคนอื่นๆที่เค้าดีกว่าเรา ตอนเรียนอยู่ชั้นประถม เราเคยเป็นนักวาดอันดับหนึ่งของโรงเรียน แต่แล้วพอมาเรียนต่อในชั้นมัธยม เรากลับกลายเป็นแค่คนๆหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนมีฝีมืออยู่น้อยนิด จะไปสู้อะไรกับเค้าได้ จึงทำให้ตัดสินใจวางมือทางด้านศิลปะลง แล้วไปเน้นด้านวิชาการแทน ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่ชอบเลย รู้สึกไม่มีความสุขไปกัีบมัน ถ้าเราทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนของเราเองนั้น รับรองว่าคุณจะหาความสุขจากมันไม่ได้เลย แต่ตอนนั้นเราก็ยังฝืนอยู่เรื่อยไป จนกระทั่งได้มีโอกาสมาเรียนและเข้าค่ายศิลปะกับคุณครูท่านหนึ่งในโรงเรียน จากการเข้าค่ายครั้งนั้นทำให้เราคิดอะไรได้มากมาย โดยเฉพาะ 'พรแสวงสำคัญกว่าพรสวรรค์' ใช่แล้ว ถ้าเรามัวแต่รอคอยพรสวรรค์ ชาตินี้คงไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองแน่ๆ เราต้องมีพรแสวงสิ ต้องหมั่นขยันฝึกฝน หมั่นแสวงหาความรู้ รับรองสิ่งที่เราฝันไว้อยู่ไม่ไกลเกินเื้อื้อมอย่างแน่นอน!  

ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่มีความฝันเดียวกัน  เราเชื่อว่าคุณทำได้
I believe that you can.